การปลดปล่อยอาณานิคมและความเสื่อม (1945–1997) ของ จักรวรรดิบริติช

แม้บริเตนและจักรวรรดิคว้าชัยจากสงครามโลกครั้งที่สอง ผลของความขัดแย้งนั้นล้ำลึก ทั้งในบริเตนและโพ้นทะเล ทวีปยุโรปบริเวณกว้าง อันเป็นทวีปซึ่งครอบงำโลกมาหลายศตวรรษ เป็นซากปรักหักพัง และมีกองทัพสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งบัดนี้ถือดุลอำนาจโลก[176] อังกฤษล้มละลายโดยสิ้นเชิง โดยปัดป้องการไม่สามารถชำระหนี้ได้เฉพาะใน ค.ศ. 1946 หลังเจรจาขอกู้เงิน 4,330 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (56,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน ค.ศ. 2012) จากสหรัฐอเมริกา[177] ซึ่งผ่อนชำระงวดสุดท้ายใน ค.ศ. 2006[178] ขณะเดียวกัน ขบวนการต่อต้านอาณานิคมเจริญในอาณานิคมของชาติยุโรป สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นอีกโดยความเป็นปรปักษ์ที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต โดยหลักการ ทั้งสองชาติคัดค้านลัทธิอาณานิคมยุโรป ทว่าในทางปฏิบัติ การต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหรัฐอยู่เหนือการต่อต้านจักรวรรดินิยม ฉะนั้น สหรัฐอเมริกาจึงสนับสนุนการมีอยู่ของจักรวรรดิบริติชต่อไปเพื่อถ่วงดุลการขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์[179] สุดท้าย "สายลมการเปลี่ยนแปลง" หมายความว่า วันแห่งจักรวรรดิบริติชเหลือน้อยแล้ว และโดยรวม บริเตนใช้นโยบายการปล่อยอาณานิคมเมื่อมีรัฐบาลซึ่งมีเสถียรภาพและมิใช่คอมมิวนิสต์ให้ถ่ายโอนอำนาจไป ซึ่งตรงข้ามกับประเทศยุโรปอ่นอย่างฝรั่งเศสและโปรตุเกส[180] ซึ่งทำสงครามราคาแพงและสุดท้ายล้มเหลวเพื่อรักษาจักรวรรดิของตนให้สมบูรณ์ ระหว่าง ค.ศ. 1945 ถึง 1965 จำนวนประชากรในการปกครองของอังกฤษนอกสหราชอาณาจักรลดลงจาก 700 ล้านคนเหลือ 5 ล้านคน ซึ่ง 3 ล้านคนในจำนวนนี้อยู่ในฮ่องกง[181]

การปล่อยขั้นต้น

ประมาณ 14.5 ล้านคนเสียบ้านเป็นผลจากการแบ่งประเทศอินเดียใน ค.ศ. 1947

รัฐบาลพรรคแรงงานซึ่งนิยมการให้เอกราชได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1945 และมีคลีเมนต์ แอตลีเป็นหัวหน้า ขยับอย่างรวดเร็วเพื่อจัดการปัญหาซึ่งกดดันที่สุดซึ่งจักรวรรดิกำลังเผชิญ คือ ปัญหาเอกราชของอินเดีย[182] พรรคการเมืองหลักสองพรรคของอินเดีย คองเกรสแห่งชาติอินเดียและสันนิบาตมุสลิม รณรงค์เรียกร้องเอกราชมาหลายทศวรรษแล้ว แต่ตกลงกันไม่ได้ว่าควรนำไปปฏิบัติอย่างไร พรรคคองเกรสนิยมรัฐเดี่ยวฆราวาสอินเดีย แต่พรรคสันนิบาต ด้วยเกรงถูกฝ่ายข้างมากฮินดูครอบงำ ปรารถนารัฐอิสลามต่างหากสำหรับภูมิภาคซึ่งมีมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ความไม่สงบของพลเมืองที่เพิ่มขึ้นและการก่อการกำเริบในราชนาวีอินเดียระหว่าง ค.ศ. 1946 นำให้แอตลีสัญญาเอกราชไม่เกิน ค.ศ. 1948 เมื่อความเร่งด่วนของสถาบการณ์และความเสี่ยงสงครามกลางเมืองประจักษ์ชัด ลอร์ดเมานท์บัตเทิน (Lord Mountbatten) อุปราชซึ่งเพิ่งได้รับแต่งตั้ง (และคนสุดท้าย) เลื่อนเวลามาเป็นวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1947[183] โดยด่วน เขตแดนที่บริเตนลากเพื่อแบ่งอินเดียเป็นพื้นที่ฮินดูและมุสลิมทำให้หลายสิบล้านคนเป็นชนกลุ่มน้อยในรัฐเอกราชใหม่อินเดียและปากีสถาน[184] ต่อมา มุสลิมหลายล้านคนข้ามจากอินเดียไปปากีสถาน และกลับกันสำหรับชาวฮินดู และความรุนแรงระหว่างสองชุมชนทำให้มีการเสียชีวิตนับหลายแสน พม่าซึ่งถูกปกครองเป็นส่วนหนึ่งของบริติชราชและศรีลังกาได้รับเอกราชในปีถัดมา คือ ค.ศ. 1948 อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกากลายเป็นสมาชิกเครือจักรภพ แต่พม่าเลือกไม่เข้าร่วม[185]

อาณัติปาเลสไตน์ของบริเตน ซึ่งประชากรอาหรับส่วนใหญ่อาศัยอยู่ร่วมกับชนกลุ่มน้อยชาวยิว นำปัญหาให้บริเตนคล้ายกับในกรณีอินเดีย[186] แต่ปาเลสไตน์ยุ่งยากเพราะผู้ลี้ภัยชาวยิวจำนวนมากแสวงการรับเข้าปาเลสไตน์หลังฮอโลคอสต์ แต่ชาวอาหรับคัดค้านการสถาปนารัฐยิว ด้วยท้อกับความยากของปัญหา การโจมตีขององค์การกึ่งทหารยิวและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการคงทหารไว้ บริเตนจึงประกาศใน ค.ศ. 1947 ว่าจะถอนทหารใน ค.ศ. 1948 และทิ้งปัญหาให้สหประชาชาติแก้ไข[187] ต่อมา สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติลงมติสนับสนุนแผนแบ่งปาเลสไตน์เป็นรัฐยิวและอาหรับ

หลังญี่ปุ่นปราชัยในสงครามโลกครั้งที่สอง ขบวนการต่อต้านต่อต้านญี่ปุ่นในมาลายาหันความสนใจไปยังบริติชแทน ซึ่งกลับควบคุมอาณานิคมอย่างรวดเร็ว โดยให้มูลค่าเพราะเป็นแหล่งยางและดีบุก[188] ข้อเท็จจริงที่ว่ากองโจรเป็นคอมมิวนิสต์ชาวมลายู-จีนเป็นหลักหมายความว่า ชาวมลายูมุสลิมส่วนใหญ่สนับสนุนความพยายามปราบปรามการก่อการกำเริบนี้ของอังกฤษ โดยความเข้าใจว่าเมื่อปราบปรามการก่อการกำเริบดังกล่าวแล้ว จะได้รับเอกราช[188] ภาวะฉุกเฉินมาลายา ตามที่ถูกเรียก เริ่มใน ค.ศ. 1948 และกินเวลาถึง ค.ศ. 1960 แต่ใน ค.ศ. 1957 บริเตนรู้สึกมั่นใจพอให้เอกราชแก่สหพันธรัฐมาลายาในเครือจักรภพ ใน ค.ศ. 1963 สิบเอ็ดรัฐแห่งสหพันธรัฐร่วมกับสิงคโปร์ ซาราวักและบอร์เนียวเหนือ แต่ใน ค.ศ. 1965 สิงคโปร์ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวจีนถูกขับออกจากสหภาพหลังความตึงเครียดที่เกิดตามมาระหว่างประชากรชาวมลายูกับชาวจีน[189] บรูไนซึ่งเป็นรัฐในอารักขาของบริเตนตั้งแต่ ค.ศ. 1888 ปฏิเสธเข้าร่วมสหภาพ[190] และธำรงสถานภาพของตนจนได้รับเอกราชใน ค.ศ. 1984

สุเอซและผลลัพธ์

การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีบริติช แอนโทนี อีเดนในการบุกครองอียิปต์ระหว่างวิกฤตการณ์สุเอซยุติอาชีพการเมืองของเขาและเผยความอ่อนแอของบริเตนในฐานะชาติจักรวรรดิ

ค.ศ. 1951 พรรคอนุรักษนิยมหวนสู่อำนาจในบริเตน ภายใต้การนำของวินสตัน เชอร์ชิลล์ เชอร์ชิลล์และพรรคอนุรักษนิยมเชื่อว่าฐานะมหาอำนาจโลกของบริเตนขึ้นอยู่กับการดำรงอยู่ต่อไปของจักรวรรดิ โดยฐานที่คลองสุเอซทำให้บริเตนธำรงฐานะเด่นในตะวันออกกลางแม้เสียอินเดียไปแล้ว ทว่า เชอร์ชิลล์ไม่อาจเพิกเฉยต่อรัฐบาลปฏิวัติใหม่ของญะมาล อับดุนนาศิรซึ่งเถลิงอำนาจใน ค.ศ. 1952 และในปีต่อมา มีการตกลงว่าจะมีการถอนทหารบริติชจากเขตคลองสุเอซและซูดานจะได้รับการกำหนดการปกครองด้วยตัวเองภายใน ค.ศ. 1955 โดยจะได้รับเอกราชตามมา[191] ซูดานได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1956

เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1956 นาศิรโอนคลองสุเอซเป็นของรัฐฝ่ายเดียว แอนโทนี อีเดน นายกรัฐมนตรีคนถัดจากเชอร์ชิลล์ สนองโดยการคบคิดกับฝรั่งเศสวางแผนให้อิสราเอลเข้าตีอียิปต์ซึ่งจะทำให้บริเตนและฝรั่งเศสเข้าแทรกแซงทางทหารและยึดคลองคืน[192] อีเดนทำให้ประธานาธิบดีดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์แห่งสหรัฐโกรธเนื่องจากไม่ได้ปรึกษาเขา และไอเซนฮาวร์ไม่ยอมสนับสนุนการบุกครองนี้[193] ข้อกังวลอีกอย่างหนึ่งของไอเซนฮาวร์คือ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามวงกว้างขึ้นกับสหภาพโซเวียตหลังโซเวียตขู่แทรกแซงโดยเข้ากับฝ่ายอียิปต์ ไอเซนฮาวร์ใช้เลฟเวอริจทางการเงิน (financial leverage) โดยขู่ขายเงินปอนด์บริติชสำรองของสหรัฐและจะเร่งให้เกิดการล่มสลายของเงินตราบริติช[194] แม้กำลังบุกครองจะประสบความสำเร็จทางทหารตามวัตถุประสงค์[195] แต่การเข้าแทรกแซงของสหประชาชาติและแรงกดดันจากสหรัฐบีบให้บริเตนถอนกำลังของตนอย่างขายหน้าและอีเดนลาออก[196][197]

วิกฤตการณ์สุเอซเผยข้อจำกัดของบริเตนต่อโลกและยืนยันความเสื่อมของบริเตนบนเวทีโลก แสดงให้เห็นว่าสืบแต่นั้นบริเตนไม่สามารถกระทำการใดได้โดยปราศจากความยินยอมหรือการสนับสนุนอย่างเต็มขั้นของสหรัฐ[198][199][200] เหตุการณ์ที่สุเอซทำให้ความภูมิใจในชาติบริเตนเสียหาย ทำให้สมาชิกรัฐสภาผู้หนึ่งอธิบายเหตุการณ์ดังกล่าวว่า "วอเตอร์ลูของบริเตน"[201] และอีกคนแนะว่า บริเตนกลายเป็น "บริวารของอเมริกา"[202] ภายหลังมาร์กาเรต แทตเชอร์อธิบายกรอบความเชื่อ (mindset) ที่นางเชื่อว่าเกิดกับสถาบันการเมืองของบริเตนว่า "กลุ่มอาการสุเอซ" ซึ่งบริเตนไม่ฟื้นตัวจนยึดหมู่เกาะฟอล์คแลนด์คืนจากอาร์เจนตินาใน ค.ศ. 1982[203]

แม้วิกฤตการณ์สุเอซทำให้อำนาจของบริเตนในตะวันออกกลางอ่อนแอลง แต่ก็มิได้ล่มสลายทีเดียว[204] บริเตนเริ่มวางกำลังกองทัพเข้าไปในภูมิภาคนั้นใหม่ โดยเข้าแทรกแซงในโอมาน (ค.ศ. 1957), จอร์แดน (ค.ศ. 1958) และคูเวต (ค.ศ. 1961) แม้โอกาสเหล่านี้จะได้รับความยินยอมจากอเมริกา[205] เนื่องจากนโยบายต่างประเทศของฮาโรลด์ แมคมิลแลน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือ การคงเข้ากับสหรัฐอย่างเหนียวแน่น[201] บริเตนคงทหารในตะวันออกกลางอีกทศวรรษ เดือนมกราคม ค.ศ. 1968 ไม่กี่สัปดาห์หลังการลดค่าเงินตราปอนด์ นายกรัฐมนตรีฮาโรลด์ วิลสัน และเดนิส เฮียเลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น ประกาศว่าจะถอนกำลังกำลังบริเตนจากฐานทัพใหญ่ทางตะวันออกของสุเอซ ซึ่งรวมถึงฐานทัพในตะวันออกกลาง และมาเลเซียและสิงคโปร์เป็นหลัก[206] บริเตนถอนทหารจากเอเดนใน ค.ศ. 1967, บาห์เรนใน ค.ศ. 1971 และมัลดีฟส์ใน ค.ศ. 1976[207]

ลมแห่งการเปลี่ยนแปลง

การปลดปล่อยอาณานิคมในทวีปแอฟริกาของบริเตน เมื่อสิ้นคริสต์ทศวรรษ 1960 ทุกประเทศยกเว้นโรดีเซีย (คือ ซิมบับเวในอนาคต) และอาณัติแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ (นามิเบีย) ของแอฟริกาใต้ได้รับรองเอกราช

แมคมิลแลนกล่าวสุนทรพจน์ในเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1960 ซึ่งเขากล่าวว่า "ลมแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังพัดผ่านทวีปนี้"[208] แมคมิลแลนปรารถนาหลีกเลี่ยงสงครามอาณานิคมแบบเดียวกับที่ฝรั่งเศสกำลังสู้รบอยู่ในอัลจีเรีย และภายใต้การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขา การปลดปล่อยอาณานิคมดำเนินอย่างรวดเร็ว[209] จากสามอาณานิคมที่ได้รับเอกราชในคริสต์ทศวรรษ 1950 ได้แก่ ซูดาน โกลด์โคสตฺและมาลายา มีเพิ่มขึ้นอีกเกือบสิบเท่าระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960[210]

อาณานิคมของบริเตนที่ยังเหลืออยู่ในทวีปแอฟริกา ยกเว้นเซาเทิร์นโรดีเชียที่ปกครองตนเอง ได้รับเอกราชทั่วกันภายใน ค.ศ. 1968 การถอนตัวจากส่วนใต้และตะวันออกของทวีปแอฟริกาของบริเตนมิใช่กระบวนการอย่างสันติ เอกราชของเคนยาเกิดให้หลังการก่อการกำเริบเมาเมา (Mau Mau Uprising) นาน 8 ปี ในโรดีเซีย คำประกาศเอกราชฝ่ายเดียว ค.ศ. 1965 โดยฝ่ายข้างน้อยผิวขาวทำให้เกิดสงครามกลางเมืองซึ่งกินเวลาจนความตกลงแลงคาสเตอร์เฮาส์ ค.ศ. 1979 ซึ่งตั้งข้อกำหนดสำหรับเอกราชที่ได้รับการรับรองใน ค.ศ. 1980 เป็นประเทศใหม่ซิมบับเว[211]

ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สงครามกองโจรที่ชาวไซปรัสกรีก (Greek Cypriots) เป็นผู้ก่อลงเอยด้วยประเทศไซปรัสที่มีเอกราชใน ค.ศ. 1960 โดยสหราชอาณาจักรคงฐานทัพแอโครเทียรีและดิเคเลีย เกาะมอลตาและโกโซในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้รับเอกราชฉันมิตรจากสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1964 แม้มีการเสนอความคิดให้รวมกับบริเตนใน ค.ศ. 1955[212]

ดินแดนแคริบเบียนของสหราชอาณาจักรส่วนมากได้รับเอกราชหลังจาไมกาและตรินิแดดออกจากสหพันธ์อินเดียตะวันตกใน ค.ศ. 1961 และ 1962 สหพันธ์อินเดียตะวันตกสถาปนาใน ค.ศ. 1958 ในความพยายามรวมอาณานิคมแคริบเบียนบริติชภายใต้รัฐบาลเดียว แต่ล่มสลายหลังการเสียสมาชิกใหญ่สุดสองชาติ[213] บาร์บาโดสได้รับเอกราชใน ค.ศ. 1966 และเกาะแคริบเบียนตะวันออกต่าง ๆ ที่เหลือในคริสต์ทศวรรษ 1970 และ 1980[213] แต่แองกวิลลาและหมู่เกาะเติกส์และหมู่เกาะเคคอสเลือกกลับสู่การปกครองของบริเตนหลังเริ่มเส้นทางสู่เอกราชแล้ว[214] หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน[215] หมู่เกาะเคย์แมนและมอนต์เซอร์รัตเลือกคงความสัมพันธ์กับบริเตน[216] ขณะที่กายอานาได้รับเอกราชใน ค.ศ. 1966 อาณานิคมสุดท้ายของบริเตนบนแผ่นดินใหญ่ทวีปอเมริกา บริติชฮอนดูรัส กลายเป็นอาณานิคมปกครองตนเองใน ค.ศ. 1964 และมีการเปลี่ยนชื่อเป็นเบลีซใน ค.ศ. 1973 และได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1981 ข้อพิพาทระหว่างเบลีซกับกัวเตมาลาเรื่องดินแดนยังไม่ยุติ[217]

ดินแดนในมหาสมุทรแปซิฟิกของบริเตนได้รับเอกราชในคริสต์ทศวรรษ 1970 เริ่มจากฟิจิใน ค.ศ. 1970 และจบด้วยวานูอาตูใน ต.ศ. 1980 เอกราชของวานูอาตูล่าไปเพราะข้อพิพาททางการเมืองระหว่างชุมชนที่พูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งเศส เพราะหมู่เกาะนั้นมีการปกครองร่วมเป็นดินแดนใต้การปกครองร่วมกับฝรั่งเศส[218] ฟิจิ ตูวาลู หมู่เกาะโซโลมอนและปาปัวนิวกินี เลือกเป็นราชอาณาจักรเครือจักรภพ

จุดจบของจักรวรรดิ

ศูนย์ประชุมฮ่องกงเป็นสถานที่จัดพิธีการส่งมอบอำนาจอธิปไตยเหนือฮ่องกงจากบริเตนให้จีนใน ค.ศ. 1997 เป็นสัญลักษณ์จุดจบของจักรวรรดิ

ค.ศ. 1980 โรดีเซีย อาณานิคมสุดท้ายของบริเตนในทวีปแอฟริกา กลายเป็นรัฐเอกราชซิมบับเว นิวเฮบริดีส์ (New Hebrides) ได้รับเอกราชในชื่อวานูอาตูใน ค.ศ. 1980 ตามด้วยเบลีซใน ค.ศ. 1981 การผ่านพระราชบัญญัติสัญชาติบริติช ค.ศ. 1981 ซึ่งจัดแบ่งคราวน์โคโลนีที่เหลืออยู่เป็น "ดินแดนในภาวะพึ่งพาบริติช" และเปลีย่นชื่อเป็นดินแดนโพ้นทะเลบริติชใน ค.ศ. 2002[219] หมายความว่า นอกจากเกาะและด่านหน้ากระจัดกระจาย (และการได้ร็อกออล โขดหินไม่มีคนอยู่อาศัยในมหาสมุทรแอตแลนติกใน ค.ศ. 1955)[220] กระบวนการการปลดปล่อยอาณานิคมซึ่งเริ่มมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองสำเร็จไปแล้วส่วนใหญ่ ใน ค.ศ. 1982 ความเด็ดเดี่ยวในการปกป้องดินแดนโพ้นทะเลที่เหลืออยู่ของบริเตนถูกทดสอบเมื่ออาร์เจนตินาบุกครองหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ โดยการอ้างสิทธิ์ยาวนานซึ่งย้อนไปถึงสมัยจักรวรรดิสเปน[221] การสนองทางทหารที่สัมฤทธิ์ผลในท้ายสุดของบริเตนในการยึดหมู่เกาะคืนระหว่างสงครามฟอล์กแลนด์มีหลายคนมองว่าช่วยพลิกแนวโน้มสถานภาพมหาอำนาจโลกของบริเตนที่ลดลง[222] ในปีเดียวกัน รัฐบาลแคนาดาตัดความเชื่อมโยงทางกฎหมายสุดท้ายกับบริเตนโดยการทวง (Patriation) รัฐธรรมนูญแคนาดาจากบริเตน รัฐสภาบริเตนผ่านพระราชบัญญัติแคนาดา ค.ศ. 1982 ทำให้การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแคนาดาไม่ต้องมีบริเตนเข้ามาเกี่ยวข้อง[18] คล้ายกัน พระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1986 ปฏิรูปรัฐธรรมนูญนิวซีแลนด์เพื่อตัดความเชื่อมโยงตามรัฐธรรมนญกับบริเตน และพระราชบัญญัติออสเตรเลีย ค.ศ. 1986 ตัดความเชื่อมโยงตามรัฐธรรมนูญระหว่างบริเตนและรัฐออสเตรเลียต่าง ๆ[223]

เดือนกันยายน ค.ศ. 1982 นายกรัฐมนตรีมาร์กาเรต แทตเชอร์เดินทางเยือนกรุงปักกิ่งเพื่อเจรจากับรัฐบาลจีนเรื่องอนาคตของฮ่องกงซึ่งเป็นดินแดนโพ้นทะเลใหญ่สุดท้ายและมีประชากรมากที่สุด[224] ภายใต้เงื่อนไขของสนธิสัญญานานกิง ค.ศ. 1842 เกาะฮ่องกงถูกยกให้บริเตนตลอดกาล แต่อาณานิคมส่วนใหญ่ประกอบขึ้นจากนิวเทอร์ริทอรีส์ซึ่งได้มาภายใต้การเช่า 99 ปีใน ค.ศ. 1898 ซึ่งจะหมดอายุใน ค.ศ. 1997[225][226] แทตเชอร์ซึ่งมองเห็นความคล้ายกับหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ ทีแรกปรารถนาถือครองฮ่องกงและเสนอการปกครองของบริติชโดยอยู่ภายใต้เอกราชของจีน แต่ถูกจีนปฏิเสธ[227] มีการบรรลุข้อตกลงใน ค.ศ. 1984 ภายใต้เงื่อนไขของปฏิญญาร่วมจีน-บริเตน ฮ่องกงจะเป็นเขตบริหารพิเศษของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยธำรงวิถีชีวิตเป็นเวลาอย่างน้อย 50 ปี[228] มีพิธีส่งมอบใน ค.ศ. 1997[16] ซึ่งหลายคนซึ่งรวมถึงเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์[17] ซึ่งทรงร่วมพิธีด้วย ว่า "จุดจบของจักรวรรดิ"[18][19]

ใกล้เคียง

จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิญี่ปุ่น จักรวรรดิบริติช จักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิมองโกล จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จักรวรรดิโรมัน จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล: เฟสสอง จักรวรรดิรัสเซีย

แหล่งที่มา

WikiPedia: จักรวรรดิบริติช http://www.ualberta.ca/~janes/EMPIRE.html http://www.amazon.com/Ending-East-Suez-Historical-... http://www.engelsklenker.com/british_empire_histor... http://www.mfa.gov.eg/MFA_Portal/en-GB/Foreign_Pol... http://www.nzhistory.net.nz/politics/treaty/waitan... http://www.cambridge.org/gb/knowledge/isbn/item648... //doi.org/10.1017%2FS0018246X00026698 //doi.org/10.2307%2F2051326 //www.jstor.org/stable/2637986 http://thecommonwealth.org/about-us